SCG

เรียนท่านผู้ถือหุ้น

ปี 2567 ถือเป็นอีกก้าวที่สำคัญของบริษัท จากที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำมาอย่างต่อเนื่องกว่า28 ปี โดยเริ่มต้นจากการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ภายใต้โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก หรือ SPP และจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำให้กับโรงงานอุตสาหกรรมในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์-ศรีราชา ก่อนขยายธุรกิจสู่พลังงานหมุนเวียน ด้วยการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์ ตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจที่มุ่งเน้นในธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนขนาดย่อม ทั้งภายในประเทศและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนขององค์กรควบคู่ไปกับการเติบโตทางธุรกิจ และวางเป้าหมายในการขยายกำลังการผลิตเป็น 400 เมกะวัตต์ ตามสัดส่วนการถือหุ้น ภายในปี 2570 ภายหลังจากบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ RATCH เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร่วมกับเครือสหพัฒน์ เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2564 ที่ผ่านมา

เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนเป็นการสะท้อนถึงความร่วมมือเป็นพันธมิตรระหว่างกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ RATCH และเครือสหพัฒน์ บริษัทจึงได้เปลี่ยนชื่อในการดำเนินธุรกิจจาก บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) เป็น บริษัท ราชพัฒนา เอ็นเนอร์ยี จำกัด (มหาชน) โดยชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังคงใช้ SCG เหมือนเดิม เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าโครงการใหม่ (SPP Replacement)ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 79.50 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 75 ตันต่อชั่วโมง เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ตามแผนงาน ทดแทนโครงการเดิมที่หมดสัญญากับ กฟผ.

ในด้านการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียน บริษัทรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์จากโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคาให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์-ศรีราชา จำนวน 4 โครงการ กำลังผลิตติดตั้งรวม 8.4 เมกะวัตต์ และโรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ และโรงแรมต่างๆที่ดำเนินการผ่านบริษัทย่อยอีก จำนวน 7 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1.5 เมกะวัตต์ ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2567บริษัทมีสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเป็นร้อยละ 19 ของกำลังการผลิตรวมตามสัดส่วนการถือหุ้นบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15

นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทโซลาริสท์ (บริษัทย่อย) ยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ผลิตและขายไฟฟ้าตามโครงการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (Fit) ปี 2565-2573 สำหรับกลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง พ.ศ. 2565 (เพิ่มเติม) พ.ศ. 2567 จำนวน 5 โครงการ ปริมาณเสนอขายไฟฟ้าที่ได้รับคัดเลือกรวม 298 เมกะวัตต์ กำหนดวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ในปี 2569-2571 ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของบริษัท และเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2050 รวมทั้งมีส่วนร่วมสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) และการดำเนินงานตามแผนพลังงานหมุนเวียนของประเทศไทย

ในปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อย ได้แก่ บจก. สหโคเจน กรีน และ บจก. สหกรีน ฟอเรสท์ ผ่านการรับรองขึ้นทะเบียนเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization : CFO) และการขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product : CFP) โดยผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าของกลุ่มบริษัท ในปี 2567 ปล่อยคาร์บอน 0.3686 ตันต่อหน่วย ซึ่งต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าของประเทศที่ปล่อยคาร์บอน 0.5986 ตันต่อหน่วย และเป็นไปตามแผนการขับเคลื่อนมิติด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ที่มุ่งเน้นการลงทุนควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง

ผลการดำเนินงานในมิติด้านสังคม ในปี 2567 บริษัทได้มีการทบทวนความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนตามแผนงาน และผลการสำรวจความพึงพอใจของชุมชนที่มีต่อการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท อยู่ในเกณฑ์ “ดีมาก”

ในมิติด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี ในปี 2567 บริษัทได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการที่ดีในระดับ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” จากโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ของสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD)ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และได้รับผลการประเมินตามโครงการประเมินคุณภาพการจัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (AGM CHECKLIST) จากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย 100 คะแนนเต็ม หรืออยู่ในระดับ 5 TIA ต่อเนื่องเป็นปีที่ 15 และรางวัล Investors’ Choice Awards จากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงการประเมินความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระดับคะแนน 4.59 จากคะแนนเต็ม 5 ซึ่งดีกว่าคะแนนเฉลี่ยในอุตสาหกรรมเดียวกันและระดับประเทศ จากการเข้าร่วมโครงการวัดระดับความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ สำหรับกลุ่มบริษัทจดทะเบียน

ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรสู่ความยั่งยืน โดยดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ตามผลงานที่กล่าวมาข้างต้น เป็นผลให้บริษัทได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 อยู่ในระดับ AA โดยติดอันดับหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 และได้รับกิตติกรรมประกาศการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนประจำปี 2567 จากสถาบันไทยพัฒน์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6

นายสุจริต ปัจฉิมนันท์

ประธานกรรมการ